วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Atitaya C.

ทรัพย์
ความหมายของทรัพย์และทรัพย์สิน
          ทรัพย์และทรัพย์สินเป็นคำที่เรารู้จักและใช้กันอย่างคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน หมายถึงวัตถุสิ่งของต่างๆ เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ อาคารบ้านเรือน ฯลฯ ทรัพย์และทรัพย์ในทางกฎหมายนั้นทั้งสองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกัน บทบัญญัติของกฎหมายได้มีการให้ความหมายของคำว่าทรัพย์และทรัพย์สินแยกต่างหากจากกันไว้

ซึ่งบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 ลักษณะ 3 ว่าด้วยทรัพย์
ทรัพย์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 “ทรัพย์ หมายความว่า วัตถุมีรูปร่าง”
ลักษณะสำคัญของสิ่งที่จะถือได้ว่าเป็นทรัพย์ตามกฎหมายนั้นมีดังนี้
1.เป็นวัตถุมีรูปร่าง คือ มองเห็นด้วยตาเปล่าและสัมผัสจับต้องได้ แต่ในบางกรณีก็อาจเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าก็ได้
2.ต้องมีราคาและถือเอาได้ หมายถึงต้องเป็นสิ่งมีค่าไม่ว่าจะมีค่ามากหรือน้อยก็ตามและสามารถยึดถือเอาเป็นเจ้าของได้ คำว่ามีราคาไม่ได้หมายถึงราคาซื้อขายเท่านั้นแต่หมายถึงคุณค่าของสิ่งนั้นๆด้วย เพราะสิ่งของบางชนิดอาจไม่มีราคาแต่มีคุณค่าทางจิตใจ เช่น ศพก็ถือเป็นทรัพย์ได้เช่นกัน ในบางกรณีมีการซื้อขายศพกันเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ แต่หากเป็นศพที่ไม่มีใครต้องการ ไม่มีคุณค่ามีราคา เช่นศพไม่มีญาติต่างๆ ก็จะไม่ถือเป็นทรัพย์ แต่หากเป็นศพมีญาติซึ่งจะนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป ก็ถือเป็นทรัพย์ได้เพราะแม้จะไม่มีราคาแต่ก็มีคุณค่าต่อญาติๆของผู้ตาย หรือพวกขยะต่างๆ ก็อาจไม่ถือเป็นทรัพย์ก็ได้เพราะไม่ใช่สิ่งมีราคา

การจะเป็นทรัพย์ตามกฎหมายต้องเข้าลักษณะทั้งสองอย่างข้างต้นที่กล่าวไว้ คือเป็นวัตถุมีรูปร่างรวมทั้งมีราคา(หรือคุณค่า)และถือเอาได้ ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งจะไม่ถือเป็นทรัพย์ตามกฎหมาย
แต่เดิมในสมัยที่ยังมีการค้าทาส มนุษย์ก็ถือเป็นทรัพย์เช่นกัน มีการขายลูกขายภรรยาไปเป็นทาส แต่เมื่อกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนเข้ามามีบทบาทในสังคมโลก ปฏิเสธระบบทาสและการกดขี่ ทำให้เรื่องการค้าทาสหมดไป มนุษย์จึงไม่ถือเป็นทรัพย์ตามกฎหมาย
ทรัพย์สิน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 138 “ทรัพย์สิน หมายความรวมทั้งทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้”
ถ้าอ่านตามตัวบทแล้วจะเห็นว่า ทรัพย์ก็คือทรัพย์สินอย่างหนึ่งเช่นกัน สิ่งใดที่เป็นทรัพย์ตามกฎหมายก็จะถือเป็นทรัพย์สินตามกฎหมายด้วย แต่ที่ทรัพย์สินแตกต่างกับทรัพย์คือทรัพย์สินจะมีความหมายที่กว้างกว่า เพราะหมายความถึงทรัพย์(วัตถุมีรูปร่าง มีราคาและถือเอาได้)และหมายความถึงวัตถุที่ไม่มีรูปร่าง แต่มีราคาและถือเอาได้ด้วย
วัตถุที่ไม่มีรูปร่าง คือสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่สามารถสัมผัสหรือจับต้องได้ เช่น อากาศ พลังงานแสงอาทิตย์ รวมไปถึงสิทธิต่างๆด้วย อาจจะเป็นสิทธิในการเช่า ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ฯลฯ แต่การที่วัตถุไม่มีรูปร่างจะเป็นทรัพย์สินได้นั้นจะต้องมีราคาและถือเอาได้ด้วย อย่างอากาศที่เราใช้หายใจกันตามปกติ ไม่มีราคาและยึดถือเป็นเจ้าของไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอากาศในถังที่ซื้อขายกัน เช่นนี้ก็ถือว่ามีราคาและถือเอาได้ จึงจัดได้ว่าเป็นทรัพย์สิน หรือสิทธิในการเช่าก็สามารถซื้อขายกันได้ เพราะสิทธินี้แม้จะไม่มีรูปร่างให้จับต้อง แต่มีคุณค่า มีราคาและสามารถยึดถือเป็นเจ้าของได้ แม้จะไม่มีรูปร่างแต่ก็มีราคาและถือเอาเป็นเจ้าของได้ เราคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการขออนุญาตใช้ลิขสิทธิ์ในผลงานต่างๆ ขออนุญาตใช้ชื่อหรือสัญลักษณ์แทนของสินค้าชื่อดัง ฯลฯ เป็นสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย จึงถือว่าลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินตามกฎหมาย
สิทธิต่างๆที่สามารถบังคับหรือเรียกร้องได้ตามกฎหมายนั้น ถือเป็นทรัพย์สินทั้งสิ้น เช่น สิทธิครอบครอง สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ สิทธิตามสัญญากู้ สิทธิในการได้รับมรดก ฯลฯ

สรุปแล้วทรัพย์กับทรัพย์สินมีความหมายตามกฎหมายที่แตกต่างกัน เมื่อพูดถึงทรัพย์ย่อมหมายถึงทรัพย์สินด้วยแน่นอน แต่หากพูดถึงทรัพย์สินแล้วอาจไม่ได้หมายความถึงทรัพย์เสมอไป ทรัพย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทรัพย์สินเท่านั้น

ประเภทของทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์
อสังหาริมทรัพย์ immovable (ซีวิลลอว์), realty (คอมมอนลอว์)) หมายความว่า ทรัพย์ที่นำไปไม่ได้ คือ ทรัพย์ที่ติดกับที่ ได้แก่ ที่ดิน และทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวรหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น และหมายความรวมถึงทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับที่ดินหรือทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้นด้วย
สังหาริมทรัพย์ หรือ สังหาริมะ movable (ซีวิลลอว์), personality (คอมมอนลอว์)) หมายความว่า ทรัพย์ที่นำไปได้ ได้แก่ ทรัพย์สินอื่นนอกจากอสังหาริมทรัพย์และรวมถึงสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย
ทรัพย์แบ่งได้และทรัพย์แบ่งไม่ได้
ทรัพย์แบ่งได้ Divisible thing คือ ทรัพย์อันอาจแยกออกจากกันเป็นส่วน ๆ ได้จริงถนัดชัดแจ้ง แต่ละส่วนได้รูปบริบูรณ์ลำพังตัว
ทรัพย์แบ่งไม่ได้ (Indivisible thing) คือ ทรัพย์อันอาจจะแยกออกจากกันไม่ได้ นอกจากเปลี่ยนแปลงภาวะของทรัพย์ และหมายความรวมถึงทรัพย์ที่มีกฎหมายบัญญัติว่าแบ่งไม่ได้ด้วย ให้หุ้นของบริษัท และม.1394 ให้ภาระจำยอม เป็นทรัพย์แบ่งไม่ได้

ทรัพย์นอกพาณิชย์และทรัพย์ในพาณิชย์
ทรัพย์นอกพาณิชย์ (Non-commercial thing) คือ ทรัพย์ที่ไม่สามารถถือเอาได้ และทรัพย์ที่โอนแก่กันมิได้โดยชอบด้วยกฎหมายเช่น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ สายลม ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์
ทรัพย์ในพาณิชย์ (Commercial thing) คือ ทรัพย์ทั้งหลายที่มิใช่ทรัพย์นอกพาณิชย์
สังกมทรัพย์และอสังกมทรัพย์
สังกมทรัพย์ Fungible thing) คือ สังหาริมทรัพย์ซึ่งโดยปรกติอาจใช้ของอื่นอันเป็นประเภทและชนิดเดียวกันมีปริมาณเท่ากันแทนได้
อสังกมทรัพย์ Non-fungible thing) คือ สังหาริมทรัพย์ซึ่งไม่อาจใช้ของอื่น ที่เป็นประเภทและชนิดเดียวกัน มีปริมาณเท่ากันแทนได้
ทรัพย์สินทั้งสองประเภทนี้ ปัจจุบันกฎหมายไทยได้ยกเลิกไปแล้ว แต่ยังมีอยู่ในกฎหมายของบางประเทศ
วิญญาณกทรัพย์และอวิญญาณกทรัพย์
วิญญาณกทรัพย์ หรือ สวิญญาณกทรัพย์ (Living thing) คือ สิ่งที่มีวิญญาณหรือชีวิตซึ่งนับเป็นทรัพย์ เช่น ทาส ช้าง ม้า วัว ควาย

อวิญญาณกทรัพย์ (Non-living thing) คือ สิ่งที่ไม่มีวิญญาณหรือชีวิตซึ่งนับเป็นทรัพย์ เช่น เงิน ทอง ที่ดิน
ทรัพย์ทั้งสองประเภทนี้มีในกฎหมายโบราณของประเทศไทย แต่ปัจจุบันไม่มีที่ใช้แล้ว
โภคยทรัพย์
โภคยทรัพย์ Consumable thing) คือ สังหาริมทรัพย์ซึ่งเมื่อใช้ย่อมเสียภาวะเสื่อมสลายไปในทันใดเพราะการใช้นั้น หรือซึ่งใช้ไปในที่สุดย่อมสิ้นเปลืองหมดไป
ทรัพย์สินประเภทนี้ ปัจจุบันกฎหมายไทยได้ยกเลิกไปแล้ว แต่ยังมีอยู่ในกฎหมายของบางประเทศ

ส่วนควบของทรัพย์ส่วนควบ Component partคือ ส่วนของทรัพย์ ซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น เป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย ทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

อุปกรณ์อุปกรณ์ Accessory คือ สังหาริมทรัพย์ซึ่งโดยปรกตินิยมเฉพาะถิ่นหรือโดยเจตนาชัดแจ้งของเจ้าของทรัพย์ที่เป็นประธาน เป็นของใช้ประจำอยู่กับทรัพย์ที่เป็นประธานเป็นอาจิณ เพื่อประโยชน์แก่การจัดดูแลใช้สอยหรือรักษาทรัพย์ที่เป็นประธาน และเจ้าของทรัพย์ได้นำมาสู่ทรัพย์ที่เป็นประธานโดยการนำมาติดต่อหรือปรับเข้าไว้ หรือทำโดยประการอื่นใดในฐานะเป็นของใช้ประกอบกับทรัพย์ที่เป็นประธานนั้น

ดอกผล
ดอกผล (fruit) คือ ทรัพย์หรือประโยชน์อย่างที่เกิดขึ้นจากการมีหรือใช้ทรัพย์ที่เป็นประธาน principal thing) หากเป็นทรัพย์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของทรัพย์ประธาน ซึ่งได้มาจากตัวทรัพย์ประธานโดยการมีหรือใช้ทรัพย์ประธานนั้นตามปรกนิยม และเจ้าของทรัพย์ประธานสามารถถือเอาได้เมื่อขาดจากทรัพย์ประธานนั้น ทรัพย์ที่เกิดขึ้นนั้นเรียก "ดอกผลธรรมดา" (natural fruit) หากเป็นทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอื่นที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวแก่เจ้าของทรัพย์ประธานจากการที่ผู้อื่นใช้ทรัพย์ประธานนั้น โดยสามารถคำนวณและถือเอาได้เป็นรายวันหรือตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอื่นที่เกิดขึ้นนั้นเรียก "ดอกผลนิตินัย" (legal fruit)

ทรัพยสิทธิ ทรัพยสิทธิ (Real right; jus in rem) คือ สิทธิทางทรัพย์ กล่าวคือ สิทธิเหนือทรัพย์ที่จะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประกอบด้วย
1.กรรมสิทธิ์ (ownership) คือ สิทธิทั้งปวงที่ผู้เป็นเจ้าของมีอยู่เหนือทรัพย์สิน อันได้แก่ สิทธิใช้สอย จำหน่าย ได้ดอกผล กับทั้งสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตน และสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
2.ครอบครอง (possession) คือ การที่บุคคลที่เข้ายึดถือทรัพย์สิ่งหนึ่งเพื่อตนเอง ทำให้ได้ไปซึ่ง "สิทธิครอบครอง" (possessory right) ไม่ถึงกับเป็นกรรมสิทธิ์แต่อาจเติบใหญ่เป็นกรรมสิทธิ์ได้
3.ภาระจำยอม (servitude) คือ ข้อผูกพันอันเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์จำต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น อสังหาริมทรัพย์เช่นนั้นเรียก "ภารยทรัพย์" ( servient estate) เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นซึ่งเรียก "สามยทรัพย์" (dominant estate)
4.สิทธิอาศัย (right of habitation) คือ สิทธิที่บุคคลจะอาศัยในโรงเรือนของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องเสียค่าเช่า
5.สิทธิเหนือพื้นดิน (right of superficies) คือ สิทธิในการเป็นเจ้าของโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งเพาะปลูกบนที่ดินหรือใต้ดินในที่ดินของผู้อื่น
6.สิทธิเก็บกิน (usufruct) คือ สิทธิที่บุคคลสามารถครอบครอง ใช้ และถือเอาซึ่งประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น
7.ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ (charge on immovable) คือ การที่อสังหาริมทรัพย์ตกอยู่ในเหตุอันยังให้ผู้รับประโยชน์มีสิทธิได้รับชำระหนี้เป็นคราว ๆ จากอสังหาริมทรัพย์นั้น หรือได้ใช้และถือประโยชน์แห่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตามที่ระบุกันไว้


ตัวอย่างการตอบข้อสอบวิชากฎหมายลักษณะทรัพย์และที่ดิน
1. นายแมนทำสัญญาเช่าที่ดินจากนายหมูเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัยโดยทำสัญญาถูกต้องตามกฎหมายมีกำหนดเวลา 10 ปี โดยนายแมนตกลงว่าเมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้วนายแมนยินยอมออกจากที่ดินและจะไม่รื้อถอนสิ่งปลูก สร้างออกจากที่ดินโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ หลังจากทำสัญญาแล้วนายแมนทำการปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินและปลูกต้นมะม่วงรอบรั้วบ้าน เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่านายแมนขอต่ออายุสัญญาเช่าเนื่องจากยังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ แต่นายหมูไม่ต้องการให้เช่าต่อ นายแมนโกรธมากจึงบอกกับนายหมูว่าจะรื้อบ้าน และขุดต้นมะม่วงออกไปจากที่ดินแต่นายหมูไม่ยอม ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านายแมนมีสิทธิรื้อถอนบ้านและขุดต้นมะม่วงออกจากที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
หลักกฎหมาย
มาตรา 144
ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดย สภาพแห่งทรัพย์ หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญ ในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะ ทำลาย ทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือ สภาพไป เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น

 มาตรา 145 วรรคหนึ่งไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่
มาตรา 146 ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราว ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ความข้อนี้ให้ใช้บังคับ แก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้ สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย


การที่นายแมนเช่าที่ดินของนายหมูเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัยนั้น ถือได้ว่านายแมนเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินของนายหมูในอันที่ปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินของนายหมูได้ บ้านที่นายแมนปลูกลงบนที่ดินตามสัญญาเช่าจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินตามมาตรา 146 แต่อย่างไรก็ตามนายแมนผู้เช่าได้ตกลงไว้ในสัญญาเช่าว่าจะไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป
จากที่ดินเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาเช่า ดังนั้นบ้านจึงตกเป็นส่วนควบกับที่ดินภายหลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลง เนื่องจากนายแมนมีสิทธิตามสัญญาเช่าที่ดินที่จะปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินเท่านั้นที่จะเข้าข้อยกเว้นทำให้บ้าน
ไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน ถ้าทำการปลูกสร้างสิ่งอื่นลงไปในลักษณะที่เป็นส่วนควบกับที่ดินแล้ว สิ่งที่ปลูกสร้างลงไปนั้นย่อมเป็นส่วนควบกับที่ดิน ดังนั้นต้นมะม่วงเป็นไม้ยืนต้นจึงเป็นส่วนควบกับที่ดินตามมาตรา 145 ส่วนควบย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์ประธานตามมาตรา 144 วรรคสอง ดังนี้เมื่อนายหมูเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์ประธานจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและต้นมะม่วงที่นายแมนปลูกสร้างลงบนที่ดินด้วย ดังนั้นนายแมนจึงไม่มีสิทธิรื้อถอนบ้านและขุดต้นมะม่วงออกจากที่ดินได้ ตามเหตุผลข้างต้น

2. นายกิ่งมีที่ดินติดต่อกับที่ดินของนายก้าน นายกิ่งเดินผ่านที่ดินของนายก้านโดยเจตนาใช้เป็นทางออกไปสู่ถนนสาธารณะติดต่อกันเป็นเวลา ๕ ปี นายกิ่งขายที่ดินให้แก่นางกรอง นางกรองใช้ทางเดินนั้นต่อมาอีก ๓ ปี แล้วย้ายไปใช้ทางเส้นใหม่ในที่ดินของนายก้าน เพราะนายก้านปลูกบ้านทับทางเดิม นางกรองใช้ทางใหม่อีก ๔ ปี แล้วนายก้านขายที่ดินให้นายแก้ว นายแก้วปิดทางไม่ให้นางกรองใช้ทางอีกต่อไป โดยอ้างว่านางกรองใช้ทางใหม่มาเพียง ๔ ปี ไม่ได้ภารจำยอมโดยอายุความ และถึงอย่างไรก็ตามนายแก้วซื้อที่ดินมาโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ไม่ทราบว่ามีทางภารจำยอม สิทธิของนางกรองหากมีก็เป็นอันสิ้นไป ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่านางกรองจะฟ้องบังคับนายแก้วให้เปิดทางได้หรือไม่
(ข้อสอบเนติฯ สมัยที่ ๓๕ ปีการศึกษา ๒๕๒๕ น.๒๐๗)

             การที่นายกิ่งใช้ทางเดินผ่านที่ดินของนายก้านออกสู่ถนนสาธารณะติดต่อกันเป็นเวลา ๕ ปี แล้วขายที่ดินให้แก่นางกรอง และนางกรองใช้ทางเดินต่อมาอีก ๓ ปีนั้น นางกรองมีสิทธินับเวลาที่นายกิ่งใช้ทางเข้าด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๕ จึงถือว่านางกรองใช้ทางมาแล้วรวม ๘ ปี (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๖๙/๒๕๑๘ น. ๒๑๕๐) (๕ คะแนน)
ที่นางกรองย้ายไปใช้เส้นทางใหม่ในที่ดินของนายก้านอีก ๔ ปี เพราะนายก้านปลูกบ้านทับทางเดิม การย้ายทางของนางกรองก็เพื่อประโยชน์ของนายก้านเจ้าของที่ดินตามมาตรา ๑๓๙๒ จึงต้องนับอายุความภารจำยอมการใช้ทางติดต่อกันรวมเป็นเวลาใช้ทางทั้งสิ้น ๑๒ ปี (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๓๔/๒๕๑๖ น. ๙๙๖)
เมื่อนางกรองใช้ทางติดต่อกันมาเกินสิบปีทางใหม่จึงตกอยู่ในภารจำยอมโดยอายุความ เพื่อประโยชน์ของที่ดินนางกรองตามมาตรา ๑๓๘๒, ๑๓๘๗, ๑๔๐๑
ส่วนที่นายแก้วซื้อที่ดินจากนายก้านโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตไม่ทราบว่ามีทางภารจำยอมนั้น นายแก้วจะยกขึ้นต่อสู้เพื่อให้ทางภารจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินนั้นต้องสิ้นไปหาได้ไม่ เนื่องจากการคุ้มครองบุคคลภายนอกตามมาตรา 1299 วรรคสอง ต้องเป็นสิทธิประเภทเดียวกัน สิทธิที่นายแก้วได้มาเป็นการได้สิทธิในลักษณะกรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นสิทธิคนละอย่างกับของนางกรองคือภารจำยอมซึ่งเป็นการรอนสิทธิ เมื่อเป็นสิทธิคนละประเภท นายแก้วจึงอ้างมาตรา 1299 วรรคสอง มายันนางกรองไม่ได้ เพราะภารจำยอมจะสิ้นไปก็ต่อเมื่อภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์สลายไปทั้งหมด หรือมิได้ใช้สิบปี ตามมาตรา ๑๓๙๗, ๑๓๙๙ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๐๐/๒๕๐๒ ประชุมใหญ่ น. ๑๑๕๐, ๑๖๕/๒๕๒๒ น. ๑๖๕) เมื่อนายแก้วปิดทางภารจำยอม นางกรองย่อมฟ้องบังคับนายแก้วให้เปิดทางได้

อ้างอิง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น